ไม่ได้ update นานเลยหลังจากโดน CIH ไปเมื่อเดือนก่อน ประกอบกับเป็นช่วงที่ใช้เวลาไปปรับปรุงระบบและความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ ทั้งหลาย เลยว่างจนถึงวันนี้ .. ..แก้ตัวเสร็จแล้วเข้าเรื่องกันดีกว่า..เหตุมีอยู่ว่าเมื่อคืนก่อนไปกินมิด ไนท์ไก่ตอน..เฮ่ย..ไปดูหนังมิดไนท์เรื่อง The Matrix มา แล้วได้ความคิดจากหนังเรื่องนี้พอสมควร โดยเฉพาะในแนวทางที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง ผมคงไม่บังอาจไปวิจารณ์หนัง แต่จะเอาที่ประเด็นที่เกี่ยวกับเรามาคุยกัน ถ้ายังไม่ดูจะอ่านเรื่องย่อๆ ก่อนก็ได้ หรือไม่ก็ไปดูซะให้มันรู้แล้วรู้รอด..ดูที่ขอนแก่นไม่ต้องคิดมากสำหรับ เรื่องนี้ตั๋วไม่แพง ตั๋วที่กรุงเทพนี่ใบนึงดูที่ขอนแก่นได้เกือบสองคน..หลายคนยังก็ว่าคุ้ม
เรื่องย่อ..อ่านแล้วจะดูหนังสนุกมั้ยเนี่ย
อนาคต มนุษย์ได้สร้างเครื่องจักรกลที่ชาญฉลาด สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง มีสติปัญญาและสร้างเครื่องจักรกลเพิ่มได้ โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ เครื่องจักรกลนี้อาศัยเพียงสิ่งเดียวคือ “พลังงาน”มันควบคุมทุกอย่างบนโลก มนุษย์เชื่อว่าเครื่องจักรกลนี้ไม่มีวันอยู่ได้ตลอดไปเพราะพลังงานแหล่ง สุดท้ายของโลกอนาคตซึ่งก็คือ “ดวงอาทิตย์” กำลังจะถูกควันและเมฆหมอกมลพิษจากน้ำมือมนุษย์บดบังไป แต่ มนุษย์คิดผิด.. เครื่องจักรที่ว่าสามารถหาพลังงานแหล่งใหม่ได้ ซึ่งก็คือ “มนุษย์” นั่นเอง..มันจึงเริ่มสร้างฟาร์มมนุษย์เพื่อดึงพลังงานมาใช้โดยส่งสัญญาณไป กระตุ้นสมองให้มนุษย์มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกในปี 1999 กินก็รู้รส หายใจก็รู้สึกถึงอากาศ ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงสัญญานที่ส่งไปกระตุ้นให้เกิดภาพและความรู้สึกใน โลกของ The Matrix เพื่อให้การกระตุ้นนั้นไปทำให้มนุษย์สร้างพลังงานออกมา แต่มีกลุ่มมนุษย์กลุ่มเล็กๆ ที่รอดพ้นจากเครื่องจักรนี้ได้พยายามหาผู้นำของตนตามคำทำนายเพื่อต่อต้านและ ทำลายเครื่องจักรกลนั้น มนุษย์จะได้อยู่และเห็นโลกที่แท้จริงไม่ใช่อยู่ในโลกของ The Matrix เรื่องราวทั้งหมดในหนังจึงเป็นเรื่องการตามหาผู้นำตามคำทำนาย .. แต่ก็ไม่ได้ง่ายนักเพราะเครื่องจักรกลนั้นก็รู้ว่ากลุ่มคนนี้กำลังพยายาม ทำลายมัน จึงมีการต่อสู้ขัดขวางตลอดเวลา โอเค..เท่านี้พอ..นี่ก็ดูหนังไม่สนุกแล้ว เอ๊..หรือจะกลายเป็นว่า..”ไม่เป็นไรค่ะ หนังไม่สน ไปดูพี่คีนูก็คุ้ม” ..เหมือนเรื่องชู้รักเรือล่ม..Titanic ..พระเอกมาทีกรี๊ดทั้งโรง พระเอกตายร้องไห้ตาม ..เฮ้อ
ประเด็นที่น่าสนใจ
เรื่องนี้ตอน ดูในโรงคนเกือบเต็มถึงแถวหน้าสุด แต่ค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยมีฮือฮาหรือหัวเราะ ไม่รู้ว่าหลับหรือตั้งใจดู (มันมิดไนท์นี่นะ) หนังเรื่องนี้มีเค้าโครงเริ่มต้นเหมือนกับหนังหลายๆ เรื่องที่จับประเด็นในโลกอนาคตเมื่อมนุษย์แพ้ภัยที่ตัวเองสร้างขึ้น และดำเนินเรื่องไปจนถึงการที่มนุษย์ต่อสู้เพื่อจะเอาชนะ รวมถึงความคิดว่าอะไรคือความจริง อะไรคือภาพลวง
โลกที่เราเห็นทุกวันนี้คือความจริง หรือเป็นเพียง simcity ของอะไรบางอย่าง มีประเด็นของปัญญาประดิษฐ์ที่ถกเถียงกันมานานว่า เราจะสร้างมันให้ฉลาดเท่ามนุษย์หรือฉลาดกว่ามนุษย์ได้หรือไม่? ถ้าทำได้จะเกิดอะไรขึ้น? มนุษย์จะยังคงควบคุมมันได้หรือไม่ มันจะปกครองโลกแทนเราหรือเปล่า? ถ้าถึงวันที่เราขาดมันไม่ได้มันจะเป็นทาสรับใช้เราหรือเราต้องเป็นทาสของมัน ?เราจะถูกเครื่องเหล่านี้กำจัดหรือเปล่า ? (เลียนแบบมนุษย์ซึ่งทำลายกันเองอยู่ทุกวัน) The Matrix จินตนาการออกไปไกลถึงมนุษย์กลายเป็นเพียง battery ของเครื่องจักรที่มนุษย์สร้างเอง มีคำในหนังที่เปรียบเทียบมนุษย์ได้แสบดี ..
แต่ไม่บอกตอนนี้หรอก ไปดูเอาเอง สำหรับตอนนี้เราคงต้องมาคิดดูว่าเป็นไปได้หรือที่เราจะสร้างให้คอมพิวเตอร์ ฉลาดได้เท่ามนุษย์หรือสูงกว่านั้น? เราจะทำไปเพื่ออะไรกัน? และความเป็นไปได้ที่จะส่งข้อมูลเข้าสมองมนุษย์โดยตรง ลองมาดูกัน
การพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีความคิดอ่านเท่ามนุษย์
ทุก วันนี้เราพยายามกันอย่างมากที่จะทำให้เครื่องจักรฉลาดขึ้นเพื่อให้มนุษย์มี ชีวิตที่สบายขึ้น เรามีศาสตร์ทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ที่เป็นทฤษฏีรองรับสำหรับผู้ที่พยายามสร้างปัญญามนุษย์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ เราพัฒนา AI มาได้ระยะนึงแล้ว แต่ถึงวันนี้มันเพิ่งเป็นการเริ่มต้นเพราะเราเพิ่งได้ model ความคิดความอ่านอย่างง่ายๆ เรามี model ที่ดีที่สุดแต่ไม่ใช่ model ที่สมบูรณ์ นักวิจัยมากมายก็กำลังพยายามค้นคว้ากันเพื่อให้ได้สิ่งที่ใกล้เคียงกับ ความคิดความอ่านและการทำงานของสมองมนุษย์ให้มากที่สุด เรามี model ของ recognition ที่สามารถรู้จำรูปแบบต่างๆ เช่น ภาพ เสียง ได้ระดับหนึ่ง เรามี model ของระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) ซึ่งสามารถวิเคราะห์ปัญหาและหาคำตอบหรือแม้แต่ค้นหาความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นได้ตามกรอบที่กำหนดไว้ ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์คิดแทนมนุษย์ได้มากมาย แต่ AI ยังห่างจากเป้าหมายมันอยู่อีกมาก เอาง่ายๆ ว่าเรายังไม่สามารถจำลองประสาทสัมผัสได้ครบ ที่ทำได้ก็ยังไม่ถือว่าสมบูรณ์ นอกจากนี้ model เกี่ยวกับความคิดอ่านที่ซับซ้อนมากๆ อย่าง ความฝัน จินตนาการ อารมณ์ .. ไม่ต้องพูดถึงเลยมันแทบจะอยู่นอกเหนือ logic ที่เราเรียนกันด้วยซ้ำไป นักวิจัยยังเพิ่งจะเริ่มแตะๆ มันเท่านั้นเอง ยังต้องหาคณิตศาสตร์ที่เป็นตัวรองรับกฏที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตามก็ยังเชื่อมั่นว่าเราจะพัฒนามันได้ ซักวันคอมพิวเตอร์จะมีความคิดความอ่านได้เท่าๆ กับมนุษย์แน่นอน เมื่อถึงวันนั้นเราจะได้อะไร? ผมไม่มีคำตอบตรงนี้ .. ผมอยากให้ไปคิดดูในแง่บวกเพราะที่ผ่านมามี idea ในหนังหลายเรื่องมักมองเรื่องนี้ในทางลบ เช่น หุ่นหรือคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดมากๆ คิดจะกำจัดมนุษย์ ผมเดาว่าเป็นการประชดมนุษย์ที่ยังคิดกำจัดกันเองเพียงเพื่อผลประโยชน์และ ความเป็นใหญ่ อีกนัยหนึ่งก็เหมือนจะเตือนให้ระวังผลที่จะตามมาหากว่าเราสามารถทำให้ คอมพิวเตอร์ฉลาดได้เท่ามนุษย์จริงๆ ..เราจะสู้กัคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดเท่ากับเอาอัจฉริยะจากทุกสาขามารวมกันได้ ยังไง .. ปิด UPS หรือถอดปลั๊กมันเหรอ ? ถ้าอัจฉริยะที่ว่าเป็นคนไทยคงจะสู้ง่ายหน่อยเพราะเดี่ยวๆ พี่ไทยเก่ง แต่พอเอาเก่งๆ มารวมกันกลับเจ๊ง..เศร้า อ่อ..อีกอย่างนึงที่น่าคิดคือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร..แต่ ก่อนเราเห็นมันเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น วันนี้มุมมองของบางคนเริ่มเปลี่ยนไป มีคนรักรถเหมือนลูก คนที่เคยคุยกับโปรแกรม Eliza รึ Dr.Sbaitso รู้สึกอย่างไรเวลาคุยกับเครื่อง? คนที่เล่น irc เคย chat กับ bot มั้ยหรือคุณไม่รู้ตัวว่ากำลัง chat กับโปรแกรม? ของเล่นอย่าง Tamagotchi บางคนรู้สึกว่ามันเป็นเพียงเกมส์แต่ทำไมบางคนรู้สึกรักเหมือนมันมีชีวิต ที่ญี่ปุ่นมีหุ่นยนต์ชื่อ Aibo ลูกสุนัขตัวเล็กน่ารัก (ผมเห็นในรูปแล้ว น่ารักกว่าที่เลี้ยงไว้ที่บ้านอีก) มี AI เข้าใจคำสั่งง่ายๆ และเรียนรู้เองได้นิดหน่อย เรียกก็เดินมาหา ลูบหัวก็กระดิกหาง ยกขาหน้าหวัดดีเป็น อะไรทำนองเนี้ย (โอ..นิสัยก็น่ารักกว่าไอ้สิบกว่าตัวที่บ้าน).. สิ่งไม่มีชีวิตกำลังเลียนแบบสิ่งมีชีวิต หากว่าวันนึงเรามีเครื่องจักรฉลาดพอที่จะคุยเป็นเพื่อน รับรู้และเข้าใจอารมณ์ มีความรู้สึกเจ็บปวด ดีใจ เสียใจ โกรธ เกลียด ชอบ รัก…เราจะยังคิดว่ามันเป็นเครื่องจักรอยู่หรือเปล่า? (พูดไปก็นึกถึงนิยายวิทยาศาสตร์ของ ไอแซค อาซิมอฟ .. ชุดนักสืบหุ่นยนต์ หรือชุดนคร .. ไปหาอ่านดูนะครับ..สนุกๆๆ) เรายอมรับได้ไหมที่จะมีเพื่อนสนิทเป็นเครื่องจักร หรือเครื่องจักรสองตัวจะเป็นเพื่อนกันได้ไหม จะเกิดสังคมของเครื่องจักรไหม แล้วมนุษย์จะเป็นอย่างไร ลองนึกภาพดูนะครับเผื่อเอาไว้สร้างหนังหรือเขียนนิยาย :)
การโปรแกรมสมอง ??
เรา รู้ว่าในสมองทำงานโดยไฟฟ้าเคมีเป็นตัวกระตุ้น neuron .. ใน The Matrix อธิบายว่าใช้การรับส่งกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ในสมองเพื่อกระตุ้น neuron ให้รับรู้ตามที่มันต้องการ มันสามารถประมวลผลจากสมองมนุษย์และให้ผลลัพธ์ตอบโต้ได้ในทันที (เหมือนว่า เมื่อสมองเราสั่งให้ก้าวเท้า สัญญาณนั้นก็จะส่งไปที่ The Matrix ซึ่งมันก็จะรับเข้าไปในโปรแกรมแล้วก็สร้าง output กลับมาที่สมองให้รู้สึกถึงการก้าวเท้า ตาจะมองเห็นมุมมองที่เปลี่ยนตามการก้าวเท้า..ทำนองเนี้ย) เหมือนกับเป็น virtual reality ระดับสุดยอด เพราะเราจะได้รับความรู้สึกจริง (ตามที่สมองได้รับข้อมูล) ทุกอย่างจะเหมือนจริงไปหมด .. เป็นไปได้จริงหรือ ?การส่งสัญญาณเข้าไปยังสมองโดยตรงเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คิดกันมานาน ที่เน้นๆ ก็คือทางด้านประสาทสัมผัสเพื่อจะได้รักษาคนพิการทางประสาทสัมผัสให้สามารถ รับรู้ได้ คนตาบอดเพราะสาเหตุที่ไม่เกี่ยวกับสมองจะมีโอกาสมองเห็นได้อีกครั้ง คนหูหนวกก็มีโอกาสได้ยิน คนเป็นใบ้ก็อาจจะพูดได้ถ้าเราเข้าใจความสัมพันธ์ของสัญญาณในสมองกับการออก เสียง ดูเหมือนจะมีงานวิจัยที่เห็นผลแล้วในเรื่องการมองเห็น อาสาสมัครที่ตาบอดคนหนึ่งเริ่มมองเห็นแสงแต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นภาพ อีกแนวทางหนึ่งเป็นการวิจัยทางทหาร ใช้การส่งข้อมูลไปยังสมองโดยผ่านประสาทสัมผัส เหมือนกับเป็นการโปรแกรมให้สมองคิดตามความต้องการโดยส่งโปรแกรมเข้าไปในสมอง ผ่านทางประสาทสัมผัสเช่น ตา หรือหู คล้ายๆ กับการสะกดจิต แต่ทำได้ทีละเยอะๆ ได้ผลเป็นเปอร์เซนต์ที่สูง ถ้าทำได้จริงมันจะเป็นอาวุธที่ไม่ใช้สังหารศัตรู แต่เปลี่ยนความคิดของศัตรูให้เป็นมิตรเพื่อไม่ให้เกิดการต่อสู้ (ถ้าบ้านเราก็เอาไว้ปราบม็อบสบายเลย..) เทคนิคนี้เหมือนการแฮ็คมีการคาดเดากันว่าข้อมูลนั้นอาจจะมาในรูปแบบที่แทรก อยู่เป็นเฟรมสั้นๆ ในจอโทรทัศน์ ประสาทตาเรามองไม่ทันแต่สมองจะรับรู้ได้ หรือมาในรูปคลื่นเหนือเสียงที่คนไม่ได้ยิน วิธีนี้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงนักวิจัยคนนึงยกตัวอย่างว่า การแทรกภาพที่มีความรุนแรงในโทรทัศน์เฟรมสั้นๆ เป็นคาบที่แน่นอน มีแนวโน้มว่าผู้ที่ดูจะมีอารมณ์ที่ก้าวร้าวกว่าเดิมและมีปฏิกิริยาเกี่ยวกับ ฮอร์โมนที่เป็นตัวควบคุมอารมณ์ (เมื่อไม่นานมานี้คงจำข่าวนักเรียนใช้ปืนยิงเพื่อนนักเรียนในโรงเรียน ข่าวนั้นทำให้คนหันมาถามคำถามว่า เกมส์ที่มีความรุนแรงเดินหน้าฆ่าลูกเดียวอย่าง DOOM, Quake, Duke มีผลต่อพฤติกรรมความก้าวร้าว การเลียนแบบ และทักษะการใช้อาวุธหรือไม่อย่างไร .. ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเชื่อว่ามีผลแน่นอนมันเหมือนกับสมองของผู้เล่นถูก โปรแกรมไปโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับการที่นักกีฬาฝึกเพื่อให้เกิด “ความจำของกล้ามเนื้อ” ส่วนที่ค้านว่าไม่จริงก็คือบริษัททำเกมส์..) โดยส่วนตัวผมไม่ชอบวิธีนี้ ถึงขนาดเปลี่ยนความคิดได้นี่ผมว่ามันน่ากลัวเกินไป
พลังงานจากมนุษย์
มี อีกเรื่องนึง..ในหนังมนุษย์เป็นพลังงานของเครื่องจักรกล .. อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นนะครับ มีคนคิดการนำพลังงานจากมนุษย์มาใช้จริงๆ แล้วก็มี product แล้วด้วย อย่างนาฬิกา Seiko Kenetic ไง..แต่ Kinetic นี่ยังเป็นการใช้ทางอ้อม มันอาศัยการเคลื่อนไหวทำให้เกิดพลังงาน (เพื่อนผมถอด kinetic ไว้สองวัน ตายจ้อย..เห็นว่ารุ่นแพงๆ อยู่ได้เป็นเดือน) ที่กำลังคิดอยู่อย่างอื่นๆ นอกจากการเคลื่อนไหว ก็มีการเอาความร้อน ความดันเลือด ลมหายใจ ไฟฟ้าเคมี ฮู้..หลายอย่าง หากทำได้ดีพอ นาฬิกา pager walkman หรือแม้แต่ palmtop ในอนาคตอาจจะไม่ต้องใช้ battery แต่แน่นอนว่าการดึงพลังงานจากมนุษย์ต้องไม่มีผลกระทบอะไรกับร่างกายถึงจะนำ ไปใช้งานกัน .. ฟังดูเข้าท่าแฮะ :)
ก่อนจบ
สุดท้ายก่อนจะจบ มีประโยคนึงในหนังที่น่าสนใจ .. “คุณรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ในฝัน? คุณแยกความฝันกับความจริงได้อย่างไร?” คำถามนี้ทำให้ผมนึกถึงที่ผมเคยอ่าน (หรือได้ยิน) คำเปรียบเทียบ “นิพพาน” ของศาสนาพุทธกล่าวเอาไว้ว่า.. “หากเปรียบชีวิตจริงของคุณเป็นความฝัน..นิพพานก็คือสิ่งที่คุณพบเมื่อคุณ ..ตื่น” คุณตอบคำถามแรกได้ไหม ? …คุณเข้าใจคำเปรียบเทียบนี้ไหม ? คุณอยากจะตื่นไหม ? …คุณจะตื่นได้อย่างไร ? …สำหรับคนที่ดูหนังแล้ว คุณจะเลือกยาเม็ดสีแดงหรือน้ำเงิน ?