Creative Common License เป็นสัญญาอนุญาตอีกแบบที่เห็นบ่อยครั้งขึ้นในระยะหลังๆ นอกเหนือจาก GPL, BSD, MIT,ฯลฯ .. มักจะปรากฏกับงานสร้างสรรค์ทางศิลปะเช่น ภาพวาด ภาพถ่าย ดนตรี ภาพยนตร์ ที่เผยแพร่บนเว็บ เหตุก็เเพราะมันช่วยให้เจ้าของงานสามารถเผยแพร่งานได้ ให้โอกาสผู้อื่นเผยแพร่งาน ใช้ประโยชน์จากงานตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยยังคงรักษาสิทธิ์ในผลประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลังไว้กับเจ้าของงาน ได้ อาจจะพอเรียกได้ว่ามันอยู่ตรงกลางระหว่าง ลิขสิทธิ์ทั่วไปไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของงานมีสิทธิ์ใช้หรือเผยแพร่ งานโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และสัญญาอนุญาตสำหรับซอฟต์แวร์ก็ให้อิสระมากเกินไปจนเจ้าของงานอาจเสียผล ประโยชน์ที่ควรจะได้
Key Features
กลไกของ Creative Common License ก็คือการแบ่งสิทธิออกเป็นข้อๆ และให้เจ้าของงานเลือกได้ว่าจะคุ้มครองสิทธิ์แต่ละข้ออย่างไร ช่วยให้เจ้าของงานสามารถเผยแพร่งานได้สะดวกขึ้น เป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการมากขึ้น .. Creative Common License ระบุเงื่อนไขได้ทั้งหมดสี่อย่าง ประกอบด้วย
- Attribution: ผู้ใช้จะต้องระบุที่มาของงานว่าต้นฉบับเป็นของใคร
- Noncommercial: ห้ามใช้ทางการค้า
- No Derivative works: ห้ามแก้ไขต้นฉบับ
- Share Alike: ถ้ามีการแก้ไขต้นฉบับ (a.k.a สร้าง derivative works) ต้องเผยแพร่ด้วยสัญญาอนุญาตเดิม
เงื่อนไข สี่ข้อนี้ผสมสัญญาอนุญาตที่สมเหตุสมผลได้ทั้งหมด 11 แบบ เพราะเจ้าของงานเลือกการคุ้มครองได้นี่เอง Creative Common License จึงมักจะใช้คำว่า “Some rights reserved” ซึ่งหมายถึงสิทธิบางอย่างได้รับการคุ้มครองด้วยสัญญาอนุญาตนี้ แทนที่จะเป็น All rights reserved เหมือนการระบุลิขสิทธิ์ทั่วไปที่สิทธิ์ทุกอย่างอยู่ที่เจ้าของงานเป็นหลัก
ที่เจ๋งก็คือสัญญาอนุญาตของ Creative Common License เขียนออกมาได้สามแบบที่มีความหมายเทียบเท่ากันกัน คือ
- Human-Readable Common Deed ภาษาสำหรับคนทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าให้และห้ามอะไร
- Lawyer-Readable Legal Code ภาษาสำหรับนักกฏหมายอ่านแล้วเข้าใจข้อตกลง มีผลและนำไปใช้ทางกฏหมายได้
- Machine-Readable Digital Code รหัสสำหรับคอมพิวเตอร์ i.e., search engine
ทีนี้ เวลาเผยแพร่งานบนเว็บ search engine ก็จะรู้่จาก digital code ได้ว่าเราเผยแพร่งานแบบไหน ผู้ใช้ก็ค้นหาได้ง่ายขึ้น เมื่อเห็นตัวงานแล้วก็สามารถดูจาก common deeds ได้ว่าเราให้และห้ามอะไร และในทางกฏหมายก็สามารถนำ legal code ไปใช้งานได้ด้วย .. ข้างล่างนี้เป็นตัวอย่าง digital code หลังจากเลือกสัญญาอนุญาตแล้ว
<!-- <rdf:RDF xmlns="http://web.resource.org/cc/" xmlns:dc="http://purl.org/dc/elements/1.1/" xmlns:rdf="http://www.w3.org/1999/02/22-rdf-syntax-ns#"> <Work rdf:about=""> <dc:type rdf:resource="http://purl.org/dc/dcmitype/StillImage" /> <license rdf:resource="http://creativecommons.org/licenses/by-nc-sa/2.0/" /> </Work> <License rdf:about="http://creativecommons.org/licenses/by-nc-sa/2.0/"> <permits rdf:resource="http://web.resource.org/cc/Reproduction" /> <permits rdf:resource="http://web.resource.org/cc/Distribution" /> <requires rdf:resource="http://web.resource.org/cc/Notice" /> <requires rdf:resource="http://web.resource.org/cc/Attribution" /> <prohibits rdf:resource="http://web.resource.org/cc/CommercialUse" /> <permits rdf:resource="http://web.resource.org/cc/DerivativeWorks" /> <requires rdf:resource="http://web.resource.org/cc/ShareAlike" /> </License> </rdf:RDF> -->
The Others
นอกจากจะระบุเงื่อนไขหลักๆ ทั้งสี่อย่างได้แล้ว Creative Common License ยังมีสัญญาอนุญาตอื่นๆ สำหรับใช้งานเฉพาะด้านด้วย เช่น
- Developing Nations license เปิดโอกาสให้ใช้งานอย่างอิสระสำหรับประเทศกำลังพัฒนาตราบใดที่อ้างอิงที่มา ของงาน และห้ามนำงานไปใช้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เจตนาก็เพื่อให้ประเทศที่กำลังพัฒนาได้เผยแพร่งานอย่างเต็มที่ โดยไม่ถูกประเทศพัฒนาแล้วเอาเปรียบ
- Sampling license สำหรับนำ ‘บางส่วน’ ของงานไปทำต่อ เช่นตัดบางส่วนของเพลง วิดีโอ ไปใช้ สัญญาอนุญาตนี้มีสามแบบคือ Sampling เฉยๆ ใช้งานได้ ยกเว้น advertising ไม่อนุญาตให้สำเนาและเผยแพร่ทั้งหมดของงาน .. Sampling Plus เหมือน Sampling และอนุญาตสำเนาเผยแพร่ทั้งหมดของงานได้หากไม่ใช่เพื่อการค้า และสุดท้ายคือ Noncommercial Sampling Plus อนุญาดให้ใช้บางส่วนของงานถ้าไม่ใช่การค้า และอนุญาตให้สำเนาเผยแพร่ทั้งหมดของงานได้ถ้าไม่ใช่การค้า
- Founders’ Copyright ใช้กำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการคุ้มครอง แทนที่จะให้คุ้มครองโดยกฏหมายลิขสิทธิ์ ซึ่งคุ้มครองไปจนกว่าเจ้าของจะเสียชีวิต + 70 ปี (note: +70 ปีตามกฏหมายสหรัฐ .. พรบ.ลิขสิทธิ์ของไทย ให้ +50 ปี หรือ +25 ปีแล้วแต่กรณี) .. Creative Common เปิดโอกาสให้เจ้าของงานได้รับการคุ้มครองโดยใช้ Founders’ Copyright ที่มีใจความใกล้เคียงกับการคุ้มครองตามกฏหมายลิขสิทธิ์ แต่มีระยะเวลาในการคุ้มครองน้อยกว่า คือเริ่มต้นที่ 14 ปี และอนุญาตให้ต่ออายุได้อีก 14 หรือ 28 ปี
- CC-GPL กับ CC-LGPL GNU GPL และ LGPL ตามลำดับ มี common deed legal code และ digital code กำกับไว้ ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกอีกนิดนึง เช่นใช้ search engine หาได้ว่า ‘งานไหนเผยแพร่ด้วย GPL บ้าง?’ เป็นต้น
- Music Sharing License อนุญาตให้สำเนา แลกเปลี่ยน เผยแพร่ได้ ตราบใดที่ไม่ทำในเชิงการค้า โดยรวมแล้วเทียบเท่าสัญญาอนุญาตแบบ Attribute – Non Commercial – Non Derivative
Should I ?
การเลือกใช้สัญญาอนุญาตแบบใดแบบ นึงขึ้นกับเจตนาว่าเราต้องการเผยแพร่งานของเราอย่างไร ลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครองงานโดยผูกขาดสิทธิ์ทุกอย่างกับเจ้าของงานเพียงผู้ เดียว ส่วนสัญญาอนุญาตที่นิยมใช้หลายๆ ตัวจะเน้นเรื่องการเผยแพร่ซอฟต์แวร์
Creative Common License มีความยืดหยุ่น อีกทั้งมีกลไกที่ช่วยให้เข้าใจและเข้าถึงงานได้ง่ายขึ้น จึงเป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่อยากจะเผยแพร่ผลงานผ่านสื่อออนไลน์