Wearable Computer: เปลี่ยนมนุษย์เป็น Cyborg

เมื่อไม่นานมานี้น้องมิ้นท์ได้ดูรายการสารคดีตอนนึงเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ขนาดเล็ก เลยนึกถึงคอมพิวเตอร์อีกชนิดนึงขึ้นมาได้ คอมพิวเตอร์ประเภทนี้เรียกกันว่า “Wearable Computer” ค่ะ..Wearable Computer บางทีจะเรียกว่า Wearable PC (WPC) จะให้แปลตรงๆ ก็จะหมายถึง “คอมพิวเตอร์ที่สวมได้”..แหะๆ ตรงดีมั้ย เหมือนกับเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า ประเภทที่ติดตัวไปได้ตลอดเวลาโดยไม่เกะกะเวลาใช้งานไง WPC เป็นอีกรูปแบบนึงของคอมพิวเตอร์ที่กำลังพัฒนาเพื่อใช้งานในอนาคตค่ะ โดยมีไอเดียมาจากความต้องการความสะดวกสบายในการใช้งานและพกพา แทนที่จะถือไปมาอย่าง notebook หรือพกติดตัวอย่าง palmtop ก็ “สวม” มันติดตัวไปแทน ไปไหนมาไหนก็สะดวกกว่า ใช้งานได้ตลอดเวลา นี่สิถึงจะเรียกว่าเป็น personal computer จริงๆ ..อ๊ะๆๆ น่าสนใจใช่มั้ยล่ะ

Wearable Computer ไม่ได้เป็นของใหม่เลยค่ะ อันที่จริงมีคนคิดและประดิษฐ์ Wearable Computer ตั้งแต่สมัย 1970’s กันแล้ว เล่ากันว่าเป็นรองเท้าที่ฝังอุปกรณ์สำหรับช่วยคำนวณความน่าจะเป็น ทำไว้เพื่อเข้าคาสิโนโดยเฉพาะ แต่ว่าราคามันแพงมากประมาณว่าไม่เจ๊งเพราะคาสิโนก็เจ๊งเพราะค่ารองเท้า นอกจากนี้รองเท้าที่ว่าก็ยังสู้ยอดเซียนเกาจิ้งไม่ได้อยู่ดี (-_-‘) อันนี้เป็นเรื่องราวสมัยที่มี Wearable Computer กันในยุคแรกๆ …

..แว๊บบ..มาถึงปัจจุบัน หลายๆ สถาบันมีการวิจัยและพัฒนาเรื่อง Wearable Computer กันมากขึ้น มีการให้ทุนในการวิจัยกันเยอะพอสมควรค่ะ แม้แต่ DARPA (Defense Advanced Project Research Agency ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) เองก็ให้ทุนวิจัยเพื่อเอาใปใช้ทางทหารด้วย (เอาไว้เล่น Rainbow Six รึไงเนี่ย..หุๆๆๆ)การพัฒนาไม่ได้มองเพียงจะผลิตคอมพิวเตอร์ที่ใช้สวมไปไหนมา ไหนได้สะดวกเพียงอย่างเดียว (อย่างนั้น PalmPilot ก็ทำด้ายย..ไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์เลย) แต่จุดสำคัญอีกอันคือการพัฒนา interface ระหว่างคนและเครื่อง และ applications ที่เป็นไปได้ในอนาคต (เดี๋ยวจะยกตัวอย่างตอนท้ายๆ บทความนะคะ) ตอนนี้มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งสนับสนุนการวิจัยทางด้าน Wearable Computer กันมากขึ้น แม้แต่เอกชนเองก็เริ่มมีการผลิต product กันออกมาบ้างแล้ว ทุกวันนี้ Wearable Computer ที่มีอยู่จะประกอบด้วยอุปกรณ์คล้ายแว่นตาหรือ headgear เพื่อใช้แสดงผล มี keyboard ขนาดเล็กสำหรับพิมพ์ มี earphone แทนลำโพง ตัวคอมพิวเตอร์จริงๆ อาจจะคาดอยู่ที่เอว หรือสะพายด้านหลัง หรืออาจจะอยู่ที่รองเท้าค่ะ จุดหลักที่มีการพิจารณาเมื่อออกแบบคือต้องติดตัวผู้ใช้ไปไหนมาไหนได้สะดวก การใช้งานที่สะดวก ไม่เกะกะ พยายามให้ใช้มือน้อยที่สุดหรือไม่ก็เป็น hand-free ไปเลย อันนี้สำคัญค่ะ อย่างเช่นเงื่อนไขที่ DARPA กำหนดไว้คือจะไปใช้กับทหาร มันต้อง hand-free ค่ะ จะได้เอามือไปทำอย่างอื่นได้ มัวแต่ใช้มือจิ้มๆ keyboard อยู่ ก็พอดีโดนยิงตายก่อนน่ะสิ นอกจากนี้อาจจะมีอุปกรณ์สื่อสารหรือ sensor อื่นพ่วงเข้าไปในระบบด้วยสำหรับงานบางประเภท ดูๆ ไปก็น่าใช้นะคะ ทีนี้มาดูกัน WPC ที่มีอยู่ตอนนี้ลักษณะเป็นยังไงนะคะ

พูดถึงคอมพิวเตอร์ก็ต้องแวะมาที่ MIT ล่ะค่ะ.. ที่ MIT มีโครงการวิจัยทางด้าน Wearable Computer ใน Media Lab. ซึ่งทำเป็นรูปเป็นร่างและเริ่มใช้งาน WPC กันจริงๆ จังๆ มาเกือบ 5 ปีแล้วล่ะค่ะ อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี Private Eye เป็นจอ monochrome สีส้ม-แดงขนาดเล็กความละเอียด 720×280 จุดค่ะ PrivateEye สามารถสร้างภาพที่เทียบเท่ากับจอ 15 นิ้วที่วางห่างออกไปสองฟุต ทั้งที่ขนาดของ PrivateEye อันกระตึ๋งเดียว (ประมาณ 2-3 ลูกบาศก์นิ้ว ดูในรูปนะคะ) โดยใช้หลักการของ vibrating mirror ในการสร้างภาพค่ะ PrivateEye จะสวมไว้ใกล้ๆ ตาด้านนึง ภาพที่จะปรากฏนี่จะเป็นภาพซ้อนของตาสองข้างค่ะ คือเห็นเป็นภาพสีส้ม-แดงลอยๆ อยู่ซ้อนกับภาพจริงหลายคนกลัวว่าใช้แล้วจะมีปัญหาเรื่องสายตา ก็มีคนยืนยันค่ะว่าใช้มาแล้ว 5 ปี ตาก็ยังไม่เข ไม่สั้น ไม่เกิดปัญหาใดๆ PrivateEye มีข้อเสียอยู่บ้างที่มันมีเสียงดัง แต็กๆๆๆๆ จากการสั่นกระจกในการสร้างภาพ.. ก็กวนสมาธิคนหูไวได้ประมาณหนึ่งค่ะ ส่วนน้องมิ้นท์หูตึง..ไม่มีปัญหา อิๆๆ มาดู keyboard กันมั่ง จะแบก 102-key keyboard ไปก็กะไรอยู่น่ะ WPC ของ MIT เลยใช้ Twiddler เป็น keyboard มือเดียว ขนาดหนึ่งกำมือค่ะ มีไม่กี่ปุ่มแต่พิมพ์ผสมกันได้ประมาณ 4000 แบบค่ะ สามารถสร้าง macro คำที่ใช้บ่อยๆ อย่าง the, an, in, and ในภาษาอังกฤษทำให้พิมพ์ได้เร็วขึ้นอีก ทีนี้มาถึงเจ้าสมองกลล่ะค่ะ ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์มีตั้งแต่เครื่องจิ๊บๆ อย่าง 486DX-50 MHz จนถึง Pentium 133 MHz MIT ใช้ board PC/104+ ขนาดประมาณแผ่น 3.5 นิ้วซัก 7-8 แผ่นซ้อนกัน

Twiddler

บอร์ด PC/104หลังประกอบเป็นกล่อง

บน board มีทั้ง RAM, Serial port, IDE controller, Video chip พร้อมใช้งาน ส่วน OS เค้าเลือก Linux ค่ะ ทีมที่ทำ WPC ไม่ได้ใช้ Windows CE เพราะมัน simple ไปและไม่ Free (แบบว่าชอบอะไรที่ฟรี ส่วนเรื่องใช้ยาก ติดตั้งลำบากๆ เอาไว้ทีหลัง น้านน..) นอกจากนี้มีการทดลองใช้เมื่อปีที่แล้ว Windows CE ได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจตามสไตล์ Microsoft ค่ะ หมายความว่ามัน “ช้าาาาาา” และ “กิน resource” ที่มีน้อยนิด เค้าเลยเลือก NetBSD หรือ Linux กัน เจ้า WPC ของ MIT สามารถต่อกับกล้อง QuickCam, ติด Sound card ใส่หูฟังและ microphone เพิ่มได้ ต่อ Internet ก็ได้ค่ะ (เย้..) โดยใช้โทรศัพท์มือถือหรือ wireless LAN หรือจะต่อเข้ากับ GPS (อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งบนพื้นโลก – Global Positioning System) ก็ได้อีกต่างหาก ประมาณว่าเผื่อหลงทางไง..โฮ่ๆๆ พลังงานที่ใช้มาจาก battery ขนาดประมาณฝ่ามือค่ะ แต่ถ้าจะใช้งานหนักๆ มีเป็น pack ใหญ่ๆ แบบคาดเอวอุปกรณ์ชุดนี้มีคนทดลองใช้งานวันละ 16 ชม. ทุกวัน คือ ยกเว้นตอนนอน เล่นกีฬา อาบน้ำ (แหม..ถ้ากันน้ำคงใส่อาบน้ำด้วยนะเนี่ย) ราคาขายก็…ประมาณ US$7000 …แพงหลายเด้อ แต่ถ้าซื้อประกอบเองก็ประมาณUS$3000 ค่ะ ขึ้นกับ board/CPU และ options ถ้าจะประหยัดลงไปอีก ที่ website wearable computing ของ MIT มีวิธีถอดจอของ VirtualBoy มาใช้ด้วย VirtualBoy อันนึงได้ตั้งสองจอ เป็นสีด้วย..แฮ็คกันสุดๆ เลย คุ้นๆ ว่า MIT มีการประกวดแฟชั่น WPC ด้วย ก็เหมือนกับเดินแฟชั่นค่ะ แต่ละคนก็เอางาน WPC ของตัวเองมาใส่อวดกันเป็นที่สนุกสนาน กลายเป็นงานแฟชั่นของ Cyborg ไปเลย :) ใครซื้อมาใช้ลองไปเดินแถวสยาม-MBK นะ..รับรองคนมองตรึม (มองแบบหลบๆ ด้วย มองแล้วเดินเลี่ยงไปห่างๆ น่ะ) สายเดี่ยวก็ไม่ปาน เดี๋ยวนี้น่ะเทคโนโลยี wireless กันแล้ว มันต้องไร้สายนะน้อง..ไร้สายน่ะ :)

ปัญหาของ WPC ทุกวันนี้คือการลดขนาดของอุปกรณ์, การ Interface กับมนุษย์ และพลังงานจาก battery ค่ะ อย่างปัญหาอันสุดท้ายเรื่อง battery นี่ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่เอาเรื่องเหมือนกัน คือ battery มันหนักเหมือนกันนะคะ ยิ่งจะให้ใช้ได้นานๆ ก็ต้องมี battery ใหญ่ๆ มันจะกลายเป็น “แบก” แทนสวมน่ะสิ นอกจากนี้ก็ยังต้องเอากลับมา recharge เวลาใช้หมด ก็เลยมีการคิดว่าจะเอาพลังงานจากมนุษย์มาใช้กันล่ะ ..อ้าวเข้าข่าย The Matrix เข้าให้ พลังงานที่ว่านี่มีคนคิดไว้ว่าสามารถหาได้จาก ความร้อนจากร่างกาย ลมหายใจ แรงดันเลือด การไหลของเลือด การเดิน การถ่ายพลังงานจากรองเท้าเมื่อเดิน ฯลฯ อู้..มนุษย์ให้พลังงานได้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย :)

แล้ว WPC จะดีกว่าคอมพิวเตอร์ธรรมดายังไง ?? นั่นน่ะสิคะ อันตั้งเป็นแสนแน่ะ ที่แน่ๆ คือความสะดวกค่ะ และตอนนี้ยังไม่ถึงระดับที่จะใช้งานจริงๆ จังๆ เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรอกค่ะ ยังต้องทำการศึกษากันต่อไปเพื่อลดขนาด และต้นทุนการผลิตด้วย ถ้ามันเป็นอุตสาหกรรมเมื่อไหร่ราคาคงจะลดลงมาอีกเยอะค่ะ ส่วนการใช้งานก็มีเยอะแยะค่ะ อย่างเช่นสำหรับคนตาบอดที่สวม WPC ติด GPS ก็จะสามารถไปไหนมาไหนในเมืองได้เอง คนหูหนวกก็ใช้ WPC เป็นตัวรับเสียงแปลงเป็นข้อความให้ คนเป็นใบ้ก็ใช้ WPC ช่วยออกเสียงแทนได้ น้องมิ้นท์อ่านเจอบทความที่วาดภาพอนาคตไว้ว่า WPC สุดท้ายจะเป็นลักษณะของเสื้อผ้า รองเท้า และแว่นตาที่ดูภายนอกไม่ต่างจากเสื้อผ้า รองเท้า หรือแว่นตาทั่วไป หรือไม่ก็เอาไปประกอบกับเสื้อผ้าได้อย่างกลมกลืน เป็นเครื่องประดับอะไรพวกเนี้ยค่ะ การใช้งานจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อย่างเช่น เราเข้าไปห้างสรรพสินค้า รองเท้าที่เหยียบบนพรมที่วางหน้าประตูห้างจะ download ข้อมูลของห้างนั้นเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซ่อนอยู่ในรองเท้า (แบบว่าเป็นพรมวิเศษค่ะคือเชื่อมกับเซิร์ฟเวอร์ของห้างฯ แล้วก็เป็นตัวส่งข้อมูลให้รองเท้า) ผู้ใช้สามารถรู้ได้ทันทีว่าจะหาของที่ต้องการได้ที่ไหน วันนี้มี promotion อะไร ราคาสินค้าเท่าไหร่ ..เดินช้อปฯ ได้ไม่ต้องกลัวหลงกันเพราะสามารถหาตำแหน่งของเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันได้ง่ายๆ .. จะซื้อของก็เดินหยิบสินค้าตามความพอใจ หยิบไปราคาก็จะขึ้นมาบอกที่หน้าจอ เอาใส่ตะกร้าก็บวกราคารวมให้ ถ้าเปลี่ยนใจไม่เอาก็ไม่คิดเงิน ห้างฯ แบบนี้ไม่ต้องจ้างพนักงานคิดเงิน ไม่ต้องเข้าคิวจ่ายเงิน พอเราเดินออกจากห้าง ราคารวมของสินค้าที่หยิบมาก็จะจะตัดออกจากบัญชีเราอัตโนมัติ (อาจจะเป็น digital cash, digital wallet หรือ credit card) ทางห้างฯ สามารถรับรู้ข้อมูลเราได้หากเราต้องการเปิดเผย ข้อมูลที่ห้างสรรพสินค้าได้รับจะเอาไปประมวลผล ดูว่าเราชอบจับจ่ายแบบไหน พอมีสินค้าใหม่ๆ ที่ตรงกับความชอบของเรา ก็จะส่ง videomail มาให้ (ตรงมาที่ WPC ที่เราสวมอยู่เลย..ว้าว) ใช้รถใช้ถนนไม่ต้องกลัวหลงทางหรือติดอุบัติเหตุข้างหน้า ข้อมูลจะส่งมาถึง WPC ที่เราสวมอยู่ ขับรถคันไหนก็ได้ ไม่ต้องเป็นรถติด GPS (กรุงเทพไม่ work แหงเลย….ยิ่งฝนตกหนักๆ คลื่นเล็กน้อย-ปานกลาง รถเล็กห้ามออกจากฝั่ง..ไม่เชื่อรถอาจเปลี่ยนสภาพเป็นแพลอยน้ำไปไหนต่อไหน เอง) ขับรถไปไม่ต้องลุ้นว่าจะมีปั๊มน้ำมันข้างหน้ามั้ย ราคาน้ำมันแพงรึเปล่า (จะตัดสินใจว่าเติมปั๊มนี้หรือปั๊มหน้าดี..อะไรแบบเนี้ย) ข้อมูลพวกนี้จะหาได้จาก GPS และเครือข่าย Internet .. หรือจะเดินทางไปต่างเมือง ต่างภาษา ก็มีตัวแปลภาษาให้เสร็จสรรพ ฯลฯ เห็นมั้ยคะเพียงแค่เปลี่ยนให้คอมพิวเตอร์ติดตัวเราไปไหนต่อไหนสะดวกๆ เราก็สามารถใช้งานใช้ประโยชน์ได้อีกเพียบเลย ยังมี applications อีกเยอะที่ทำได้เมื่อคอมพิวเตอร์ตามเราไปตลอดเวลา ลองนึกๆ ดูสิคะ ถึงเวลามัน boom ขึ้นมาจะได้เป็นเจ้าของธุรกิจ WPC software ที่รวยที่สุดในโลกมั่ง :)