ท่านอาจารย์โตซุย ท่านชอบธุดงค์แสดงธรรมไปเรื่อยๆ ไม่ติดวัด พอแสดงธรรมที่ไหนคนติดมากเข้า ท่านก็จะย้ายไปที่อื่นเป็นเช่นนี้ตลอด จนมาถึงวัดสุดท้ายเมื่อท่านแสดงธรรมแล้ว ท่านก็ประกาศว่าท่านจะหยุดแสดงธรรมด้วยปากแล้ว จากนั้นตัวท่านเองก็หลีกเร้นไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย ไม่มีใครทราบว่าท่านไปอยู่ที่ไหน ต่อมาเนื่องจากเป็นผู้ที่มีศิษย์มากมาย ศิษย์ของท่านคนหนึ่งจึงไปพบท่านเข้าโดยบังเอิญ ท่านอาศัยปะปนอยู่กับพวกขอทานใต้หลืบสะพานแห่งหนึ่งในเมืองเกียวโต ศิษย์ผู้นั้นดีใจมากจึงขอฝากตัวอยู่ด้วย ท่านอาจารย์มองดูศิษย์ ไม่ได้บอกรับหรือปฏิเสธ เพียงกล่าวว่า
“ถ้าอยากอยู่ก็ลองดู หากเห็นว่าอยู่อย่างฉันได้ฉันก็ไม่ว่า”
ดังนั้น ศิษย์ผู้นั้นจึงได้ติดสอยห้อยตาม ใช้ชีวิต และปฏิบัติตัวเหมือนท่านอาจารย์ตลอด
เป็นการบังเอิญเหลือเกิน ที่ต่อมาเพียงวันเดียว หลังจากไปเที่ยวขออาหารมาแล้ว เกิดมีขอทานที่อยู่ใต้หลืบสะพานเดียวกันล้มป่วยตายลง คืนนั้นท่านอาจารย์และศิษย์จึงจัดการนำไปฝัง พอกลับมาท่านอาจารย์ก็ล้มตัวลงนอนพักอย่างสบาย ส่วนศิษย์ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ นอนกระสับกระส่ายทั้งคืนจนรุ่งเช้า พอรุ่งสว่าง ศิษย์ก็รีบเตรียมตัวจะออกไปขอทานกับท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์กลับหันมาบอกว่า
“เออ วันนี้ดี เราไม่ต้องออกไปขอทานก็ได้ อาหารของขอทานที่ตายที่เขาขอมาเมื่อวานนี้ยังเหลืออยู่นั่นไง เอามากินกันเถอะ”
ว่าแล้วท่านอาจารย์ก็เขี่ยแบ่งอาหารให้ศิษย์ แล้วตัวท่านก็กินเอากินเอา ส่วนศิษย์ได้แต่นั่งดูกระอักกระอ่วน ไม่อาจกลืนได้แม้สักคำ ท่านอาจารย์จึงว่า
“ฉันว่าแล้ว เธออยู่อย่างฉันไม่ได้หรอก เธอไปเถอะ อย่าพยายามติดตามฉันอีกเลย”
ท่านอาจจะนึกว่า จำเป็นถึงขนาดที่จะต้องลดตัวลงขนาดนั้นหรือ แต่ถ้าคิดให้ลึกแล้ว ลาภสักการะ ชื่อเสียง พัดยศ กระทั่งสิ่งที่คนวัดเขาเทิดทูนบูชาคือความเป็นพระอรหันต์ มันจะอะไรกันนักหนา ใช้ทำประโยชน์อะไรได้ เมื่อสิ่งที่กล่าวถึงนั้น เป็นเพียงการปิดฉลากว่าเป็นนั่นเป็นนี่เท่านั้น แต่สิ่งที่แท้จริงที่ฉลากปิดอยู่นั้นล่ะจะเป็นอย่างไร ท่านพร้อมจะไปอยู่กับท่านอาจารย์โตซุยหรือยัง ?