The New 7 Wonders of the World

ประกาศไปแล้วเมื่อวันที่ 7/7/07 .. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ได้รับการโหวตสูงสุด 7 แห่ง ได้แก่

  1. ชิเชน อิทซา (Chichen Itza) เมืองโบราณแห่งอาณาจักรมายา ประเทศเม็กซิโก
  2. พระมหาไถ่ (Christ the Redeemer) เหนือยอดเขาคอร์โควาโด กรุงรีโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล
  3. กำแพงเมืองจีน (The Great Wall) ประเทศจีน
  4. มาชู ปิคชู (Machu Picchu) อาณาจักรอินคาที่สาปสูญ หุบเขาอูรูบัมบา ประเทศเปรู
  5. เพตรา (Petra) นครศิลาสีชมพู ประเทศจอร์แดน
  6. โคลลอสเซียม (Collosseum) กรุงโรม ประเทศอิตาลี
  7. อนุสรณ์สถาน ทัชมาฮาล (Taj Mahal) เมืองอัครา ประเทศอินเดีย

ที่มา: n7w

ฤดูร้อน ดอกไม้ไฟ และร่างไร้วิญญาณของฉัน

ซัทสึกิ และ ยาโยย เด็กสาววัย 9 ขวบเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งสองชอบชวน เคน พี่ชายของยาโยยไปเล่นด้วยเสมอ .. วันหนึ่งขณะที่ ซัทสึกิและยาโยยนั่งรอเคนอยู่บนกิ่งไม้ ยาโยยได้สารภาพว่าเธอชอบเคน ในขณะที่ซัทสึกิก็สารภาพอย่างเดียวกัน .. ขณะนั้นเอง เคนกำลังเดินมาหาทั้งสองที่ต้นไม้ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น .. หนึ่งในสองเด็กสาวตกจากต้นไม้ และตายอยู่ใต้ต้นไม้นั่นเอง .. เรื่องราวของการหลบเลี่ยง ซ่อนศพ ก็เริ่มต้นจากตรงนี้เอง .. แล้วใครกันจะเล่าเรื่องนี้ได้ดีไปกว่าศพ ?

โอตสึอิจิ เขียนเรื่อง Natsu To Hanabi To Watashi No Shitai เมื่ออายุได้เพียง 17 ปี เป็นผลงานชิ้นแรกที่เขาเปิดตัว และเรื่องนี้ก็ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงการนักเขียนนวนิยายแนวลึกลับตั้งแต่นั้นมา .. สำหรับฉบับภาษาไทยได้รับการแปลโดยคุณ พรพิรุณ กิจสมเจตน์ น่าจะเคยวางขายในงานหนังสือหลายหนแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสหยิบมาอ่านเมื่องานหนังสือครั้งที่ผ่านมา ฤดูร้อน ดอกไม้ไฟ และร่างไร้วิญญาณของฉัน เป็นเรื่องสั้นที่ดำเนินเรื่องได้ตื่นเต้นหักมุมเกินคาด และเลือกใช้ "ศพ" เป็นคนเล่าเรื่อง .. และในเล่มเดียวกันยังมีเรื่องสั้นเรื่อง "ยูโกะ" ชื่อของนายหญิงที่สาวใช้นามคิโยเนะรับใช้มาตลอด แต่ไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย .. เป็นอีกเรื่องที่จบชนิดคาดไม่ถึงเช่นกัน

QEMU, VirtualBox, WINE, Cedega, Crossover – which one is the fastest ?

3 – 4 วันที่ผ่านมาลองวัดอะไรดูนิดหน่อย แปะไว้ในห้องแล็บ

QEMU, VirtualBox, WINE, Cedega, Crossover – which one is the fastest ?

ทำเสร็จ … ท่าน densin กะ lindever มี request เพิ่ม … รอไปก่อนละกัน :P

/me Cedega for supported games, CX for MS Office :(, WINE for the others, QEMU/VirtualBox for pen. test.

รอยสักรูปหมา

งานหนังสือคราวที่ผ่านมาหยิบเอา รอยสักรูปหมา ของ โอตสึอิจิ มาพลิกดู .. คนขายที่บูธบอกว่า งานของโอตสึอิจิมักจบแบบหักมุมแบบคาดไม่ถึง อ่านสนุกนะ .. เลยหยิบมาซะหลายเล่มทั้งที่ไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่ เพราะยังไม่เคยรู้จักนักเขียนคนนี้มาก่อน (- -‘)

รอยสักรูปหมา (Hiramen Inu) รวมเรื่องสั้นสี่เรื่องที่ให้อารมณ์ nostalgia ปนกับจินตนาการที่ออกจะสยองขวัญนิดๆ ผลงานเล่มนี้ได้รับการแปลโดยคุณ พรพิรุณ กิจสมเจตน์ .. ด้วยไม่เคยอ่านงานของโอตสึอิจิ ไม่รู้มาก่อนว่่าจะออกแนวไหน เปิดอ่านหน้่าแรกๆ เลยรู้สึกขัดนิดๆ สำหรับเล่มนี้จินตนาการจะเกินจริงไปบ้าง แต่เนียน กระชับ สร้างอารมณ์ร่วมได้ดี และปิดเรื่องได้ยอดเยี่ยม ทั้งหักมุม จับใจ น่าทึ่ง บางครั้งน่าขนลุก

โอตสึอิจิ เป็นนามปากกาของ ฮิโรทะกะ อาดาจิ นักเขียนเรื่องสั้นแนวสยองขวัญที่เปิดตัวผลงานชิ้นแรกตั้งแต่อายุ 17 แล้วก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักอ่านในญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นมา สำหรับบ้านเราอาจจะได้เห็นผลงานผ่านตามาแล้ว อาทิ ฉันหายไปในวันหยุด ฤดูร้อน ดอกไม้ไฟ และร่างไร้วิญญาณของฉัน นัดหมายในความมืด โทรศัพท์สลับมิติ .. ปัจจุบันผลงานของโอตสึอิจิถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ การ์ตูน อยู่หลายเรื่อง .. ปีหน้าเขาจะอายุ 30 อนาคตยังไปได้อีกไกล

2.6.21-4-mactel-peorth!

$ uname -snr
Linux peorth 2.6.21.4-mactel-peorth

ไม่มีอะไร .. แค่อยากอวดว่าคอมไพล์ เคอร์เนล + mactel บน Ubuntu ได้แล้ว .. ใช้ applesmc กับ dynticks ได้ซะที .. :P

...
[    6.792000] applesmc: Apple MacBook detected:
[    6.792000] applesmc:  - Model with accelerometer
[    6.792000] applesmc:  - Model without light sensors and backlight
[    6.792000] applesmc:  - Model with 12 temperature sensors
[    7.444000] applesmc: accelerometer successfully initialized.
[    7.444000] applesmc: device successfully initialized.
[    7.444000] applesmc: 1 fans found.
...
[   17.483874] Switched to NOHz mode on CPU #0
[   17.483992] Switched to NOHz mode on CPU #1
...

Atheros in MacBook and MadWiFi

Apple MacBook C2D มี AirPort Extreme Wireless LAN ใช้ชิป Atheros (168c:0024) สำหรับลินุกซ์ใช้งานผ่าน ndiswrapper >= 1.39 + (proprietary) Windows driver ได้ .. การใช้งานทั่วไปสำหรับ ndiswrapper ก็ถือว่าใช้ได้ นานๆ จะมี softlock โผล่มาซักที .. กระทั่งวันหนึ่งก็พบว่ามัน associate กับ access point ยี่ห้อ Trapeze ไม่ได้ ตามมาด้วยปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ ndiswrapper มันไม่สนับสนุน monitor mode ซึ่งจำเป็นสำหรับงานที่ทำอยู่ .. เบื้องต้นทำอะไรกับมันไม่ได้ก็ทนใช้ ndiswrapper ไป T_T

จนกระทั่งเมื่อปลายเดือนที่แล้ว MadWiFi (ไดรเวอร์ ‘โอเพนซอร์ส’ สำหรับ Atheros) ออก snapshot 0.9.30.13 สนับสนุน AirPort Extreme ตัวนี้ด้วย เลยโหลดมาลองใช้ดู ถึงจะยังไม่ใช่ stable และไม่ sensitive เท่า ndiswrapper แต่ใช้งานได้ดีเลยแหละ ใช้กับ Trapeze ก็ได้ เซ็ต monitor mode ก็ได้ แถมสร้าง virtual interface ได้หลายตัว ตั้งให้ทำงานต่างๆ กันในเวลาเดียวกันได้ด้วย .. แจ่มแมวมั่กๆ :D

Link: http://madwifi.org/

Linux on Apple MacBook

Yep, I now own a MacBook .. Core 2 Duo one, and the primary reason I choose is that it’s a great hardware to run Linux (and it’s relatively cheaper). I did some research to convince myself that Linux run well on this notebook. I could tell you that ‘now’ is the right time to have Linux running on MacBook since all hardware components are now well supported. Even better, newer distribution such as Ubuntu 7.04, which officially use 2.6.20, supports most parts of MacBook out-of-the-box. :)

Installation

You may completely overwrite OSX by Linux, but I think it is still a good idea to leave OSX on MacBook at least to upgrade firmware. So, the set up will be dual boot (or even triple boot with .. err .. MS Windows XP/Vista). Next, installation steps.

In Mac OS X, make sure you update all firmware available. Upgrading software is also preferred.

Download the latest version of rEFIt and follow its instruction to install rEFIt in your OSX volume. rEFIt is an EFI boot menu and EFI GPT utilities.

Download Boot Camp from Apple’s web site, run and follow its instruction, burn a Windows Driver CD (you will need it), and make sure you partition the disk so that available space is large enough for Linux. My choice would be that largest possible for Linux, smallest possible for OSX. After partitioning the disk, reboot.

Alternatively to Boot Camp, you may use ‘diskutil’, a command line to partition your disk. Just make sure that you know exactly what you are doing.

Install Linux. I’d recommend Ubuntu 7.04 Feisty Fawn. Good news is that Feisty uses the Linux kernel version 2.6.20, which includes several supports for MacBook (and other Apple machines). So, just boot up the live CD. If it produces a kernel panic, try boot option of

lpj=8000000

for MacBook 2.0 GHz, or

lpj=7330000

for MacBook 1.8 GHz.

Double click “Install”, at disk partition step, choose “Manually edit partition”. Do NOT touch sda1 and sda2, they are EFI GPT and Mac OS X, respectively. Make sure your root partition is sda3 or sda4. The others can be sda5 and beyond.

Okay, a lecture, MacBook uses Extensible Firmware Interface (EFI) instead of BIOS, and EFI uses GUID Partition Table (GPT) to describe partitions. There is no notion of ‘extended’ or ‘logical’ partition in GPT, and you are no longer limit to 4 (primary+extended) partitions. GPT allows up to 128 partitions, but for backward compatible with legacy BIOS mode, bootable partition(s) should be one of the first 4 partitions. Don’t worry, Linux knows EFI for quite some time and GNU Parted is capable to handle GPT quite well.

After reboot, you should see Tux sitting in the beautiful menu of rEFIt. Choosing Tux will bring you to GRUB boot loader. If not, reboot to rEFIt menu and choose ‘Partition Tool’ to sync GPT and MBR. GRUB should work after sync.

Things that work out-of-the-box and without additional configurations are

  • Intel HD Audio (snd_intel_hda)
  • Marvell 88E8053 10/100/1000BASE-T Gigabit Ethernet (sky2)
  • USB Controller (uhci_hcd, ehci_hcd) .. noted that build-in keyboard, AppleTouch, Infrared, and iSight are hardwired to USB.
  • Bluetooth
  • Agere FireWire (ohci_1394)
  • Suspend-to-Disk (hibernate) and Suspend-to-RAM (suspend)
  • Special keys (brightness, volume, eject)

Display

MacBook is equipped with Intel GMA 950 Integrated Graphics processor and 1280×800 13.3-inch glossy TFT display. X.org’s i810 driver + i915 DRM work well for this. However, it is 1024×768. To get native resolution of 1280×800, ‘915resolution’ helps.

# aptitude install 915resolution

Restart X .. done.

Apple PowerBook Keyboard

Okay, keyboard works, but I don’t like default mode, i.e, Fn + F1 = F1. I just want F1 to be F1 and use Fn to get special keys (backlight, volume, etc.) To do so, append the following to /etc/modprobe.d/options

options hid pb_fnmode=2

PowerBook Keyboard mode can be controlled via /sys/module/hid/parameters/pb_fnmode. 1 = OS X-ish, 2 = PC-ish

AppleTouch

Again, it works via X.org’s synaptics touchpad driver, but the default config sucks (sorry ..). Additionally, only one button may not be enough. Synaptics driver is very powerful and flexible if you know how to deal with. Try

$ man synaptics

You’ll see all available options. My config for synaptics is the following:

Section "InputDevice"
        Identifier      "Synaptics Touchpad"
        Driver          "synaptics"
        Option          "SendCoreEvents"        "true"
        Option          "Device"                "/dev/psaux"
        Option          "Protocol"              "auto-dev"
        Option          "LeftEdge"              "20"
        Option          "RightEdge"             "1200"
        Option          "TopEdge"               "20"
        Option          "BottomEdge"            "370"
        Option          "FingerLow"             "15"
        Option          "FingerHigh"            "30"
        Option          "MinSpeed"              "0.79"
        Option          "MaxSpeed"              "0.88"
        Option          "AccelFactor"           "0.015"
        Option          "MaxTapTime"            "100"
        Option          "MaxTapMove"            "80"
        Option          "MaxDoubleTapTime"      "95"
        Option          "TapButton1"            "1"
        Option          "TapButton2"            "3"
        Option          "TapButton3"            "2"
        Option          "VertTwoFingerScroll"   "true"
        Option          "VertScrollDelta"       "10"
        Option          "HorizScrollDelta"      "10"
        Option          "ClickTime"             "100"
        Option          "SHMConfig"             "on"
EndSection

You may use ‘synclient‘ to fine tune edges, pressure, timing, etc.

AirPort Extreme

MacBook C2D uses relatively new WiFi chip from Atheros that supports up to 802.11n. You have two options here: ndiswrapper or madwifi. Ubuntu provides ndiswrapper and should works out-of-the-sbox. Anyway, newer versions of ndiswrapper fixed many issues occurred in MacBook. First, install additional packages

# aptitude install linux-headers-generic
# aptitude install build-essential

Then, download ndiswrapper, unpack, build, and install

$ tar xzf ndiswrapper-1.44.tar.gz
$ cd ndiswrapper-1.44
$ make
$ sudo make install

Next, you’ll need the proprietary driver written for MS Windows. It is in the disk burned during Boot Camp.

$ mkdir atheros-driver
$ cd atheros-driver
$ unrar x atherosxpinstaller.exe

Install the driver, and insert ndiswrapper module. The wlan0 interface will be up.

# ndiswrapper -i /path/to/atheros-driver/net5416.inf
# modprobe ndiswrapper

If things go well, you may want to append the following in /etc/modules

ndiswrapper

Now, ndiswrapper will be inserted automatically during boot up your system.

For madwifi, you need snapshot version of 0.9.30.13 or newer. Download, unpack, build, and install.

$ tar xzf madwifi-hal-0.9.30.13-current.tar.gz
$ cd madwifi-hal-0.9.30.13-r2351-20070519
$ make
$ sudo make install

Just replace existing files if there exist. Now, it’s ready to use

# modprobe ath_pci

The wireless LAN device wifi0 should be ready, and the ath0 interface should also be created automatically. Since madwifi is multiband driver, it can create multiple network interfaces, running different mode, from a single wireless device. Although ndiswrapper 1.44 is more stable, I’d prefer madwifi mainly because it is open source, and it supports monitor mode.

iSight

This does not work out-of-the-box. You’ll need a patched version of uvcvideo 0.1.0-e. Download, unpack, make, and install

$ tar xzf linux-uvc-0.1.0-e.tar.gz
$ cd linux-uvc-0.1.0-e
$ make
$ sudo make install

The module will be installed in /lib/modules/<kernel-version>/usb/media, and should be moved to /lib/modules/<kernel-version>/misc/. A utility named ‘extract’, provided with uvcvideo, to load Mac OS X firmware of iSight.

# mount /dev/sda2 /mnt
# extract /mnt/System/Library/Extensions/IOUSBFamily.kext/Contents/PlugIns/AppleUSBVideoSupport.kext/Contents/MacOS/AppleUSBVideoSupport
# modprobe uvcvideo

Alternatively, download isight-extract utility. This utility will extract iSight firmware from AppleUSBVideoSupport.

$ cd isight_extract
$ make
$ extract /mnt/System/Library/Extensions/IOUSBFamily.kext/Contents/PlugIns/AppleUSBVideoSupport.kext/Contents/MacOS/AppleUSBVideoSupport

The file named ‘isight.fw’ will be created in the current directory. Put this file to /lib/firmware/<kernel-version> iSight firmware should be loaded automatically when uvcvideo is inserted. Try ekiga with V4L2 driver to test iSight camera.

iRemote

To use iRemote, install inputlirc

# aptitude install inputlirc

Now, iRemote will be able to control volume :D .. Additionally, install lirc and lirc-x and get more fun

# aptitude install lirc lirc-x

The two packages provides many utilities, including ircat, irexec, irxevent. Consult manpages for more information. Also, this is <a href=files/lircrc>my ~/.lircrc</a> to control a number of applications via iRemote.

Not test yet

  • FireWire

Seem to work though.

ฆาตกรรมในโรงเรียน

มาจิโกะกำลังจะย้ายจากโอซาก้าไปอยู่โตเกียวตามครอบครัว เย็นวันนี้เธออยากไปเดินเล่นดูโรงเรียนเป็นครั้งสุดท้าย และเป็นวันนี้เองที่เพื่อนของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าเธอ …

ยังไม่ทันที่เธอจะรู้จักเพื่อนใหม่ในโรงเรียนแห่งใหม่ในโตเกียวได้ดีนัก หนึ่งในเพื่อนร่วมห้องของเธอก็ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งภายหลังเธอบังเอิญได้รู้ความจริงว่าเป็นการฆาตกรรม … ไม่ทันจะได้คลี่คลายคดีเดิม คดีใหม่ก็เกิดตามมาอีก .. ด้วยรู้ว่าการตายของเพื่อนเธอไม่ใช่อุบัติเหตุ เธอจึงแอบสืบหาฆาตกรอย่างลับๆ โดยมีเพื่อนชายของเธอคอยช่วยเหลือ .. ไม่นานเธอก็พบว่าการตายของเพื่อนร่วมห้องของเธอเกี่ยวข้องกับโรงเรียน และฆาตกรก็เป็นคนในโรงเรียนนี้เอง … เรื่องเหมือนจะคลี่คลายและจบได้โดยง่าย แต่ความจริงไม่ใช่ … ไม่ใช่แค่นั้น …

“ฆาตกรรมในโรงเรียน” แปลมาจากเรื่อง Shisha no Gakuensai ของ อาคากะวา จิโร ผู้แต่งซีรีส์แมวสามสีและซายะกะนั่นเอง เรื่องนี้แปลโดยคุณ ปัญจารีย์ จารีธนารักษ์ นักแปลหน้าใหม่ฝีมือไม่แพ้รุ่นพี่ๆ .. สำหรับ ฆาตกรรมในโรงเรียน อาจจะมีอารมณ์ขันน้อยไปสักนิดและบรรยากาศค่อนข้างจริงจังเมื่อเทียบกับซีรีส์ดังทั้งสองเรื่อง อย่างไรก็ตามความสนุกสนานและเงื่อนปมต่างๆ ยังคงไว้ลาย อาคากะวา จิโร เรื่องนี้ยังถูกนำไปเขียนเป็นการ์ตูนและทำเป็นภาพยนตร์ด้วย .. แต่เวอร์ชันหนังสือน่าจะหนุกสุดแล้ว :)

/offtopic .. อ่อ วันนี้สองพรรคใหญ่ คงวุ่นๆ สินะ …